1.3  ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่ออุปสงค์
             เส้นอุปสงค์ที่กล่าวมาแล้วเป็นความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณความต้องการซื้อกับราคาของสินค้าและบริการนั้น โดยกำหนด ให้ปัจจัยอื่นๆคงที่ หากเรานำปัจจัยตัวอื่นเข้ามาพิจารณาจะเห็นว่าปริมาณความต้องการซื้อสินค้าหรือปริมาณอุปสงค์มิได้ขึ้นอยู่กับราคาของสินค้าและบริการนั้นแต่
เพียงอย่างเดียว ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยตัวอื่นๆซึ่งได้แก่  
             -  ราคาสินค้าชนิดอื่น ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าเป็นสินค้าที่ใช้ประกอบกันหรือใช้ทดแทนกัน เช่น กาแฟกับน้ำตาลซึ่งเป็นสินค้าที่ใช้ประกอบกัน (complementary goods) ถ้าราคาของกาแฟสูงขึ้น อุปสงค์ในกาแฟจะลดลง ทำให้ปริมาณความต้องการซื้อหรืออุปสงค์ในน้ำตาลลดลงด้วย ในทางกลับกัน ถ้าราคาของกาแฟลดลง อุปสงค์ในกาแฟจะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อุปสงค์ในน้ำตาลเพิ่มขึ้นตาม ดังนั้นสำหรับกรณีสินค้าที่ใช้ประกอบกัน ราคาของสินค้าชนิดหนึ่งเพิ่มขึ้น-ลดลง จะทำให้ปริมาณความต้องการซื้อหรืออุปสงค์ในสินค้าอีกชนิดหนึ่งลดลง-เพิ่มขึ้น ตามลำดับ แต่ถ้าเป็นสินค้าที่ใช้ทดแทนกัน (substitution goods) เช่น เนื้อไก่กับเนื้อหมู เมื่อราคาของเนื้อไก่สูงขึ้น ผู้บริโภคจะหันไปบริโภคเนื้อหมูแทนเนื้อไก่ เนื่องจากราคาเนื้อหมูถูกกว่าเนื้อไก่โดยเปรียบเทียบ นั่นคือปริมาณความต้องการซื้อหรืออุปสงค์ในเนื้อไก่จะลดลง ส่วนของเนื้อหมูจะเพิ่มขึ้น ตรงกันข้าม ถ้าราคาเนื้อไก่ลดลง จะส่งผลให้อุปสงค์ในเนื้อไก่และเนื้อหมูเพิ่มขึ้นและลดลงตามลำดับ นั่นคือ ถ้าเป็นสินค้าที่ใช้ทดแทนกันราคาของสินค้าชนิดหนึ่งเพิ่มขึ้น-ลดลง จะทำให้ปริมาณความต้องการซื้อหรืออุปสงค์ในสินค้าอีกชนิดหนึ่งเพิ่มขึ้น-ลดลง ตามลำดับ
             -  จำนวนของประชากร แน่นอนว่าจำนวนประชากรกับปริมาณความต้องการซื้อหรืออุปสงค์ในสินค้าใดๆจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกัน กล่าวคือ เมื่อประชากรเพิ่มขึ้น-ลดลง ความต้องการในสินค้าและบริการต่างๆก็จะเพิ่มขึ้น-ลดลงตาม
             -  รสนิยมของผู้บริโภค ปริมาณความต้องการซื้อหรืออุปสงค์ในสินค้าใดๆขึ้นอยู่กับ กาลเวลา แฟชั่น วัย เพศ ระดับการศึกษา ความชอบ ฯลฯ ซึ่งเป็นรสนิยมของแต่ละบุคคล ตัวอย่างเช่น อุปสงค์ในกางเกงยีนในกลุ่มวัยรุ่นจะมากกว่าในกลุ่มของผู้ใหญ่ (วัย) อุปสงค์ในเครื่องสำอางของกลุ่มผู้ชายจะน้อยกว่าของกลุ่มผู้หญิง (เพศ) ฯลฯ
             -  ฤดูกาล เช่น ในฤดูร้อน อุปสงค์ในผ้าห่มจะมีน้อยลง ส่วนอุปสงค์ในเครื่องปรับอากาศและ พัดลมจะมีเพิ่มขึ้น หรืออย่างในฤดูหนาว อุปสงค์ในครีมบำรุงผิวจะมีมากกว่าในฤดูร้อน และในฤดูฝนอุปสงค์ในร่มจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับฤดูอื่นๆ เป็นต้น
             -  วัฒนธรรม ประเพณี เช่น ผู้บริโภคที่นับถือศาสนาอิสลามจะไม่มีอุปสงค์ในเนื้อหมูเลย หรือผู้บริโภคที่เป็นชาวจีนส่วนใหญ่จะไม่นิยมการบริโภคเนื้อวัว ทำให้ปริมาณความต้องการซื้อหรืออุปสงค์ในเนื้อวัวมีน้อย ฯลฯ
             -  การคาดคะเนราคาในอนาคตของผู้บริโภค กล่าวคือถ้าผู้บริโภคคาดว่าในอนาคตราคาสินค้าจะสูงขึ้น ผู้บริโภคก็จะมีอุปสงค์ในสินค้าเหล่านั้นในปัจจุบันเพิ่มขึ้น ตรงกันข้ามถ้าคาดว่าราคาสินค้าจะลดลง ผู้บริโภคก็จะชะลอการใช้จ่ายในปัจจุบันลง นั่นคืออุปสงค์ของสินค้าเหล่านั้นในปัจจุบันจะน้อยลง 
1.4  พฤติกรรมการบริโภคกับทฤษฎีอรรถประโยชน์
             นอกจากปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว พฤติกรรมการบริโภคก็เป็นตัวกำหนดหรือมีอิทธิพลต่อปริมาณความต้องการซื้อหรืออุปสงค์ในสินค้าและบริการต่างๆ   ซึ่งมีทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการบริโภค  คือ ทฤษฎีอรรถประโยชน์
คำว่า  อรรถประโยชน์  (Marginal  Utility)  นักเศรษฐศาสตร์ได้ให้ความหมายว่า  ความพอใจที่บุคคลได้รับจากการบริโภคสินค้า
ในทางเศรษฐศาสตร์นั้น  ความต้องการและความสามารถในการซื้อเรียกว่า  อุปสงค์ (Demand) หากสมมติว่า  เราเป็นคนที่มีเหตุมีผลในทางเศรษฐศาสตร์  การตัดสินใจว่าจะซื้อสินค้าและบริการหรือไม่นั้นก็เป็นไปตามหลักการคิดแบบหน่วยสุดท้าย  กล่าวคือต้องมีการเปรียบเทียบความพึงพอใจที่จะได้รับจากการบริโภคเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งหน่วย (Marginal Utility: MU) กับต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการบริโภคหน่วยนั้นที่เพิ่มขึ้น (Marginal Cost: MC) หาก MU ที่ได้รับเท่ากันหรือมากกว่า MC ที่เกิดขึ้นจากการบริโภคแล้ว  ก็จะทำการซื้อสินค้าชิ้นนั้น  
             อย่างไรก็ดี  MU ที่ได้รับจากการบริโภคนั้นไม่ได้คงที่เสมอไป  ลองนึกถึงความพึงพอใจที่ได้รับจากการได้กินข้าวแกงจานแรกกับความพึงพอใจที่ได้รับจากการกินข้าวแกงจานที่สอง  สาม  และสี่   จะเห็นได้ว่าข้าวจานแกงแรกให้ความพึงพอใจกับเรามากกว่าข้าวจานต่อๆ ไป  การลดลงของความพึงพอใจที่ได้รับจากการบริโภคเมื่อมีการบริโภคสินค้าหรือบริการชนิดเดิมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  นั้น  เรียกว่า “กฎการลดน้อยถอยลงของอรรถประโยชน์” (Law of Diminishing Marginal Utility)
             ถ้าเราเพิ่มข้อสมมติเข้าไปอีกว่า  ความพึงพอใจสามารถตีค่าออกมาเป็นตัวเงินได้  เช่น  ข้าวจานแรกให้ MU กับเราเท่ากับ 30 บาท  ข้าวจานที่สองให้ MU  กับเราเท่ากับ 20 บาท  ถ้าข้าวแกงราคาจานละ 25 บาท (MC)  หากตัดสินใจตามหลักเศรษฐศาสตร์  เราก็จะซื้อข้าวแกงจานแรกมากินเนื่องจาก MU>MC  แต่จะไม่ซื้อข้างแกงจานที่สองเพราะความพึงพอใจที่ได้รับน้อยกว่าต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการบริโภค หากข้าวแกงราคาจานละ 15 บาท  เราก็จะซื้อข้าวแกงเพิ่มขึ้น  จากเดิมที่เคยซื้อแค่จานเดียว     ก็เพิ่มมาเป็นสองจาน  เพราะข้าวแกงจานที่สองนั้น MU>MC 
 		ด้วยสมมติฐานทั้งสองข้อนี้เองที่ทำให้เกิด กฎของอุปสงค์ (Law of Demand)  ที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ในเชิงผกผันระหว่างราคาสินค้าและบริการกับปริมาณซื้อสินค้านั้น  เมื่อใดที่ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น  การซื้อสินค้าก็จะลดลง  ในทางตรงกันข้าม  เมื่อราคาสินค้าลดลง  ความต้องการซื้อสินค้านั้นก็จะเพิ่มขึ้น 
1)  กฎการลดน้อยถอยลงของ อรรถประโยชน์  (Law  of  Diminishing  Marginal  Utility)     
             เมื่อผู้บริโภคได้รับสินค้าหรือบริการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  โดยที่รสนิยมและอุปนิสัยของผู้บริโภคไม่เปลี่ยนแปลง  อรรถประโยชน์ของผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้นในระยะแรก  แล้วค่อยๆลดลง  จนถึงจุดหนึ่งส่วนที่เพิ่มจะเท่ากับศูนย์  จะลดลงต่ำกว่าศูนย์ซึ่งเป็นไปตามกฎการลดน้อยถอยลงของอรรถประโยชน์
             -  อรรถประโยชน์เพิ่ม  (Marginal  Utility : MU)  คือ อรรถประโยชน์รวม  (Total  Utility : TU)  คือ  ผลรวมของอรรถประโยชน์เพิ่มที่บุคคลได้รับจากการบริโภคสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งขณะนั้น เราเพิ่มข้อสมมติว่าความพึงพอใจสามารถแทนเป็นค่าได้  จะเห็นได้ว่าอรรถประโยชน์ที่เกิดจากการดื่มน้ำแก้วแรกจะมีค่ามากที่สุด  แต่อรรถประโยชน์ที่เกิดจากการดื่มน้ำแก้วต่อๆไปเริ่มลดลงจนกระทั่งแก้วที่หกรู้สึกอิ่มทันทีคือไม่มีอรรถประโยชน์เลย  คือ  เท่ากับศูนย์  แต่ถ้าเรายังดื่มน้ำเข้าไปต่อแล้วนั้นนอกจากจะไม่มีอรรถประโยชน์แล้วให้โทษอีกด้วยนั่นคืออรรถประโยชน์ติดลบ   
             ตัวอย่าง  อรรถประโยชน์ที่เกิดจากการบริโภคน้ำของบุคคลหนึ่ง